หัวใจขาดเลือดคืออะไร...?
เมื่อหัวใจไม่ได้รับโลหิตที่มีออกซิเจนมากพอ
ก็จะเกิดอาหารเจ็บปวดที่เรียกว่า "อาการหัวใจขาดเลือด (Angina)"
ซึ่งมีสาเหตุจากการกระตุกในหลอดเลือดหัวใจ
"อาการดังกล่าว" เป็นการเตือนว่าหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น
อาการที่แสดงถึงโรคหัวใจขาดเลือดของแต่ละคน เป็นอย่างไร...?
อาการหัวใจขาดเลือดจะแสดงแตกต่างกันไป เช่น...
- เจ็บ ปวด หรือรู้สึกไม่สบาย
- แน่นท้อง
- เป็นตะคริว
- ชา
- หายใจลำบาก จุกเสียด
- แน่นหน้าอก
- ร้อน
- เหงื่อแตก
- วิงเวียนศรีษะ
อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ที่ไหนบ้าง...?
1) อาการสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในบริเวณหน้าอก ไหล่ หลังส่วนบน แขน คอ ในลำคอ หรือกรามเป็นต้น
2) และอาจเกิดขึ้นในเวลาที่รู้สึกเครียด ขณะที่ใช้แรงมากในการทำกิจกรรม
3) อาจเกิดขึ้นหลังมื้ออาหารหนักๆ
2) และอาจเกิดขึ้นในเวลาที่รู้สึกเครียด ขณะที่ใช้แรงมากในการทำกิจกรรม
3) อาจเกิดขึ้นหลังมื้ออาหารหนักๆ
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดชนิดที่ปรับเปลี่ยนได้
- ระดับไขมันโคเลสเตอรอลสูง แนวทางแก้ไขคือ จำกัดการบริโภคโคเลสเตอรอล ไขมันชนิดอิ่มตัวหรือไขมันเทียม (Trans (hydrogenated) Fat) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมโคเลสเตอรอลโดยรวม (TC) และไตรกลีเซอไรด์ (TG) ให้ต่ำกว่า 200 มก./ดล. ควบคุม LDL โคเลสเตอรอลให้ต่ำกว่า 100-130 มก./ดล. ส่วน HDL ให้มีมากๆ ไว้ คือสูงกว่า 35 มก./ดล.
- ความดันโลหิตสูง สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) กำหนดแรงดันโลหิตไว้ไม่ให้เกิน 130/85 มม.ปรอท (130 คือแรงดันบน หรือแรงดันซิสโตลิก ส่วน 85 คือ แรงดันล่างหรือไดแอสโตลิก)
- การสูบบุหรี่ นิโคตินจากบุหรี่ทำให้เส้นเลือดตีบตัวลง ทำให้หัวใจต้องออกแรง สูบฉีดมากขึ้น คาร์บอนมอนนอกไซด์ที่อยู่ในควันบุหรี่ออกฤทธิ์ลดระดับ ออกซิเจนในเลือด พร้อมทั้งทำร้ายผนังเส้นเลือด
- เบาหวาน ป้องกันโดยรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม จำกัดน้ำหนักส่วนเกิน จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไป รับประทานอาหารที่อุดมด้วยเส้นใยอาหาร และคาร์โบไฮเดรตชนิดซับซ้อน ลดอาหารไขมันชนิดอิ่มตัวและน้ำตาล ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไว้ให้ดี
- ออกกำลังกาย แต่ละสัปดาห์ควรได้ออกกำลังกายในระดับหักโหมปานกลาง ไม่ต่ำกว่า 200 นาที โดยอาจทำรวดเดียวครั้งละ 30 นาที หรือแบ่งทำช่วงละ 10 นาที วันละ 3-4 ช่วงก็ได้
- น้ำหนักตัวมากไป แก้โดยบำรุงรักษาน้ำหนักตัวไว้ให้เหมาะสม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะน้ำหนักตัวที่เกินพอดีเพียง 10% ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด แล้วการลดน้ำหนักแค่ 2-4 กิโลกรัม จะช่วยลดแรงดันโลหิตได้
- อาหารที่ไม่เหมาะสม แก้ไขได้ถ้าจำกัดอาหารกลุ่มไขมันไม่ให้เกินวันละ 20-30% ของปริมาณพลังงานจากอาหารทั้งหมดที่จะได้ในแต่ละวัน ในจำนวนนี้ไม่ควรได้ ไขมันชนิดอิ่มตัวเกิน 7% โดยหันไปใช้น้ำมันมะกอกหรือคาโนลาแทน เพิ่มการบริโภคใยอาหารให้ได้วันละ 25-30 กรัม โดยเพิ่มการรับประทานผลไม้ ถั่ว และธัญพืช
- ความเครียด แก้ไขโดยออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป ปฏิบัติการทำสมาธิด้วยวิธีต่างๆ
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดที่เปลี่ยนไม่ได้
- อายุ ผู้ชายที่มีอายุเกิน 40 ปี หรือผู้หญิงที่แก่กว่า 55 ปี ต้องเริ่มทำใจแล้วล่ะว่า จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้น
- เพศชาย ผู้ชายเสี่ยงต่อการมีความดันโลหิตและไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง อยู่เป็นระยะยาวได้มากกว่าเพศหญิง แต่ผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว ก็เริ่มมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมาปกป้องเหมือนตอนที่ยังเป็นสาว
- พันธุกรรม ความเสี่ยงของคนๆ หนึ่งจะเพิ่มขึ้นถ้ามีพ่อหรือพี่ชาย น้องชาย (อายุต่ำกว่า 55 ปี) หรือมีแม่หรือพี่สาวน้องสาว (อายุต่ำกว่า 60 ปี) ที่เคยเป็น โรคหัวใจขาดเลือดจนเกิด Heart Attack หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เจ็บหน้าอก หรือโรคหัวใจขาดเลือด
- เผ่าพันธุ์ คนผิวดำจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผิวขาว และมักจะมีอาการรุนแรงกว่า
อย่าละเลยโรคหัวใจขาดเลือด การพักผ่อน และการรักษาด้วยยาเป็นวิธีที่ช่วยลดอาการขาดเลือดอย่างได้ผล
การดูแลด้วยสมุนไพร
คุณหมอเส็งได้แนะนำผลิตภัณฑ์ ที่ควรทานคือ
- สตาร์ไลฟ์ 111 ครั้งละ 30 cc. เช้า - เย็น
- ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อย ครั้งละ 50cc. เช้า - เย็น
- ยาหอมน้ำ ครั้งละ 50cc. เช้า - เย็น
เวลารับประทาน ใช้ผลิตภัณฑ์ 3 อย่างนี้ ทานพร้อมกันวันละ 2 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหาร ก็ได้ ทานเพียง 1 อาทิตย์อาการเหล่านี้จะดีขึ้นมาก แต่ท่านควรทานติดต่อกันหลายๆเดือนเพื่อให้ได้ผลสูงสุด