ต่อจากการตอบข้อโต้แย้ง แบบเด๊ะๆ ตอนที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้เทคนิคการตอบข้อโต้แย้งกันไปหลายหัวข้อแล้ว หลายๆท่านนำเอาไปปฏิบัติกันบ้างหรือยังเอ่ย ? ใครที่ลองไปใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เข้ามาคอมเม้นกันได้ท้ายบทความครับ...
ว่าแต่ว่าตอนนี้เรามาต่อกัน ข้อที่ 4 ก่อนเลยดีกว่าครับ
4.ขายไม่เก่ง ขายไม่เป็น คนที่บอกแบบนี้แปลว่าเขายังเข้าใจทัศนคติการขายแบบผิดๆอยู่ สิ่งที่คุณต้องเปรียบเทียบให้เขาเข้าใจเลยคือ ขาย = ได้เงิน , ซื้อ = เสียเงิน
กลัวการขาย = กลัวได้เงิน ลองเปรียบเทียบกับ คนจีนที่ย้ายมาไทยสมัยก่อน ทำไมเขาถึงรวย เพราะเขาปลูกฝังว่าต้องทำอาชีพค้าขาย คนรวยคือคนที่เป็นผู้ขาย ไม่ใช่ "ลูกค้า"
ทำให้เห็นภาพว่า เขากลัวการขายหรือกลัววิธีการขาย ลองยกตัวอย่างการมีหน้าร้าน กับการเดินขายของดูครับ
ร้อยทั้งร้อยใครก็ขายได้ ถ้ามีหน้าร้านให้คนเดินเข้ามาซื้อ พอมีหน้าร้านทำไมขายได้ ?
… ถูกต้อง เพราะเขาไม่ได้กลัวการขาย เขากลัวการปฎิเสธ กลัวไปพูดแล้วถูกปฎิเสธ แล้วมันสะเทือนจิตใจ กระทบตัวตนเรา ธรรมชาติของเรารู้สึกเจ็บปวด ฉะนั้นแล้วคุณต้องให้เขามีหน้าร้านขายครับ ผมจะตอบเขาแบบนี้
พูดให้เห็นภาพ มองให้ออก อย่าไปกลัวการขาย มันเป็นทักษะที่คนประสบความสำเร็จมี เราขายในวิธีที่ชาญฉลาด คุณอย่าไป worry ว่าเดี๋ยวนำเสนอขายจะมีคนดูถูก ไม่ซื้อแล้วเสียหน้า..
คิดไว้เสมอว่า ถ้ามันตอบสนองความต้องการ เขาก็ซื้อแค่นั้น ถ้าเสนอแล้วยังไม่ตอบโจทย์ เขายังไม่อยากได้ ไม่เอาก็แค่นั้น ไม่ต้องไปตื้อ เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมจบ !
...แต่ถ้าพี่ไม่ชอบงานขายจริงๆ พี่ก็ไม่ต้องขายครับ เพราะธุรกิจหมอเส็งเป็นการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค ไม่ใช่การขายเหมือนประกันชีวิต
ขอให้คุณบอกกับผู้มุ่งหวังว่า “จริงๆแล้วการสร้างธุรกิจ MLM มีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางแรกคือขาย แนวทางที่สองคือการแนะนำ ถ้าคุณไม่ชอบขาย คุณก็ไม่จำเป็นต้องขาย ไม่เป็นไร เพราะผมก็ไม่ชอบขายสินค้าเหมือนกัน ผมแอนตี้ด้วยซ้ำ การสร้างธุรกิจ MLM ของหมอเส็ง คุณแค่ลองซื้อสินค้าใช้ แล้วคุณก็ทำการตลาดโดยการบอกต่อ กับสินค้าที่คุณใช้แล้วชอบ ใช้แล้วดี เพียงเท่านี้ก็สร้างธุรกิจได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องขายเลย”
5.พูดไม่เก่ง ผู้มุ่งหวังที่มีข้อโต้แย้งนี้ มักจะไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง คุณจึงต้องพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า
แม้เขาจะพูดไม่เก่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างธุรกิจแม้แต่น้อย เพราะธุรกิจนี้ไม่ได้ต้องการคน “พูดเก่ง” แต่ต้องการคน “พูดเป็น”
เพราะคนพูดเก่งไม่ได้แปลว่า รู้ในสิ่งที่พูด อาจจะแค่พูดไปเรื่อยๆก็ได้ ซึ่งในธุรกิจ MLM เค้าต้อง “ฟังเก่ง” ก่อน และร่วมการฝึกอบรมให้ผู้ร่วมธุรกิจ “พูดเป็น” มีข้อมูล และข้อเท็จจริง ที่จะใช้นำเสนอให้ผู้อื่นฟัง ไม่มั่ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงที่เค้าพูดไม่เก่ง ขอแค่ตั้งใจจริงเค้าก็สามารถสร้างธุรกิจได้
6.ไม่มีเวลาว่าง หากผู้มุ่งหวังตอบว่าไม่ว่างไม่มีเวลา ส่วนใหญ่มักจะตอบเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากทำธุรกิจคุณต้องชี้ให้ผู้มุ่งหวังเห็นคุณค่าของการแบ่งเวลามาสร้างชีวิต เพราะในชีวิตคนเรามี 24 ชม. เท่ากัน ถ้าเราใช้เวลาทำงานหรือเรียนวันละ 8 ชม. พักผ่อนและนอนหลับ 12 ชม. เราก็ยังมีเวลาเหลืออีก 4 ชม. การใช้เวลา 4 ชม. ที่เหลือ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าใครจะประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนใช้เวลาไปกับการเที่ยวเล่น บางคนใช้ศึกษาพัฒนาตัวเอง บางคนใช้หารายได้พิเศษเป็นรายชั่วโมง บางคนใช้ทำธุรกิจส่วนตัว คุณก็บอกผู้มุ่งหวังว่า
คุณลองแบ่งเวลา 4 ชม. มาทำธุรกิจแล้วถ้าคุณไม่ชอบจริงๆค่อยเลิกก็ยังไม่สาย คุณจะได้ไม่เสียโอกาสมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
7.ไม่รู้จะไปขายใคร ผู้มุ่งหวังมักจะคิดว่าการสร้างธุรกิจหมอเส็ง จะเป็นการไป “เอา” แทนที่จะ “ให้” หรือไป “รบกวน”แทนที่จะ “ช่วยเหลือ” คุณจึงต้องชี้ให้เห็นว่าการสร้างธุรกิจหมอเส็ง จะเป็นการที่คุณมอบสิ่งดีๆ “ให้” กับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้คนรอบตัวของผู้มุ่งหวัง ขอให้คุณตอบผู้มุ่งหวังว่า
“คุณลองคิดถึงคนที่ต้องการรายได้เพิ่ม แต่ยังไม่รู้ทำอย่างไร ถ้าคุณได้แนะนำธุรกิจหมอเส็ง แล้วทำให้เค้ามีรายได้เพิ่ม ก็เป็นการดีกับตัวเค้าเอง แล้วมันก็เกิดจากการที่เราก็มอบสิ่งดีๆให้กับเค้า”
หรือถ้าตอบในแง่ของสินค้า
“มันจะดีแค่ไหน ถ้าเกิดว่าเรานำอาหารเสริมคุณภาพสูงไปแนะนำให้คนที่ไม่ค่อยแข็งแรงใช้ แล้วเค้าแข็งแรงขึ้น เค้าก็คงอยากจะขอบคุณเราแน่เลย”
การตอบข้อโต้แย้งเรื่องสินค้าในขายตรง
1.สินค้าราคาแพงไป ตอบไปว่า “ไม่ใช่แพงธรรมดานะครับ แต่โครตแพงเลย ผมก็รู้สึกแบบนั้นในตอนแรก แต่พอได้ศึกษา ผมก็เข้าใจระหว่างสินค้าราคาสูงกับสินค้าราคาแพง ต่างกันอย่างไร”อะไรถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาไปเทียบกับอะไร… กาแฟ Starbucks ,มือถือ Apple คุณคิดว่าแพงหรือเปล่า ?
แพงคือ คุณภาพกับราคาไม่สมเหตุสมผล คุณต้องเปรียบเทียบให้เห็นชัด ถึงสินค้าของคุณกับ สินค้าระดับสูงตามท้องตลาด ให้เขาเห็นภาพว่าสินค้าในธุรกิจเครือข่าย คุณภาพจะเกินราคาเสมอ
ที่คุณเจอบอกว่าแพง อาจเป็นเพราะคุณทำการตลาดไม่ตรงกลุ่มด้วยครับ ถ้าผมเป็น sale ขายเบนซ์ ผมก็ต้องไปขายคนที่มีศักยภาพซื้อ เขาถึงจะซื้อ มนุษย์ทุกคนมีทักษะการแยกแยะ มีเหตุและผลในตัวเองอยู่แล้วครับ
2.ต้องใช้เงินลงทุนทำธุรกิจสูง หากเขาคิดว่าทำธุรกิจเครือข่ายเป็นการลงทุนที่สูง แปลว่าเขาไม่เคยลงทุนทำธุรกิจ อยู่ในกรอบพนักงานประจำมานาน คุณต้องบอกเขาครับว่าทำธุรกิจมันก็ต้องลงทุน
เปิดร้านขายข้าวคุณว่าลงทุนเท่าไร ซื้อแฟรนไชส์ร้านบะหมี่ยังต้องลงทุนเป็นแสนเลยครับ
ทำงานประจำมันก็ต้องลงแรง ลงสมองอยู่ดี แล้วไม่มีโอกาสรวยด้วย แต่ถ้าอยากรวยก็ต้องลงทุนให้เป็น
3.มีสินค้าตัวเดิมๆเต็มบ้าน ลูกค้าผม 100 % ก็มีของเดิมอยู่ทั้งนั้น บางคนพึ่งซื้อด้วย ความจริงที่คุณเจอข้อโต้แย้งแบบนี้ อาจเป็นเพราะคุณอธิบายไม่ดีพอ คุณต้องทำให้เขารู้สึกได้ว่า “ดี” กับ “ดีกว่า” โดยธรรมชาติแล้วคนจะเลือกอะไร ?
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม ใช่ว่าเขาจะใช้อยู่ผลิตภัณฑ์เดียวซะเมื่อไหร่ สิ่งสำคัญอยู่ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือแผนธุรกิจ มันไม่มีปาก มันนำเสนอตัวเองไม่ได้ คุณต้องเป็นคนนำเสนอ
คุณต้องมีทักษะของการเรียนรู้ข้อมูลในธุรกิจคุณ ไม่ใช่เขาถามไรมา ตอบไม่ได้ คุณก็ไม่มืออาชีพ แล้วจะหวังให้เขาเข้าร่วมธุรกิจกับคุณได้อย่างไร
ใช้การตอบข้อโต้แย้ง ย้อนกลับมาที่ตัวคุณ
เป็นคุณเอง ก็คงอยากที่จะเข้าร่วมธุรกิจกับมืออาชีพ จริงไหมครับ คุณต้องพัฒนาทักษะของผู้นำที่จะนำพาคนอื่นให้ประสบความสำเร็จ “เราให้ในสิ่งที่เราไม่มีไม่ได้” ถ้าคุณมีความเป็นมืออาชีพ ธุรกิจคุณใช่ เขาก็จะมั่นใจและเชื่อมั่นที่จะเข้าร่วมธุรกิจกับคุณแน่นอนครับ